วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558

เจโตปริยญาณ ดูกายในกายได้

 เจโตปริยญาณ ดูกายในกายได้

 เมือดูสีของจิตได้ ก็ย่อม ดูกายในกายได้
    ในระดับต้น พระพุทธองค์สอนให้ดูกายในกาย คือ อวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆในกายของเรา และผู้อื่น  แต่สำหรับ ญาณนี้ ใช้ประโยชน์ในการดู กายที่ซ้อนอยู่ในกายนี้อีกที กายที่ว่านี้จัดเป็น อทิสมานกาย ไม่อาจดูด้วยตาเนื้อธรรมดาเห็นได้ ต้องดูด้วยญาณนี้เท่านั้น  เราคงเคยฝันกันทุกคน ฝันว่าทำนู่นทำนี่ ไปนู่นไปนี่ นั่นคือการปรากฏตัวของ กายในกายที่ว่านี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเวลาที่กายเนื้อหลับ กายเนื้อจะหมดกำลังที่จะควบคุมกายในกายได้ กายในกายชนิดนี้จึงออกไปทำกิจกรรมต่างๆ เมื่อตื่นขึ้นมาจึงมัก จะจำเหตุการณ์ ที่ฝันไปได้ หรือ รู้สึกว่าได้กระทำไปตามที่ฝันจริงๆ เช่น วิ่งจนเหนื่อย




         กายในกายนสี้เเบ่งได้เป็น 5 ขั้น คือ
1.  กายอบายภูมิ  จะมีรูปร่างลักษณะ คล้ายคนขอทาน มีลักษณะเศร้าหมอง ซูบซีด ไม่สดใส คนที่มีกายในประเภทนี้ ตายเมื่อไหร่ ไปอบายภูมิ


2.  กายมนุษย์  จะมีรูปร่างลักษณะ ค่อนข้างผ่องใส มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่ในแต่ละคน จะมีกายมนุษย์ที่แตกต่างกันบ้าง ที่มีสัดส่วน ผิวพรรณ และ ความสวยสดงดงามที่ไม่เหมือนกัน คนพวกนี้ตายแล้ว จะกลับไปเกิดเป็นมนุษย์ อีก


3.  กายทิพย์ คือ กายเทวดาชั้น  กามาวจร จะมีลักษณะ ที่ผ่องใส ละเอียด แต่ถ้าเป็นระดับ อากาศเทวดา หรือ รุกขเทวดาขึ้นไป จะมีมงกุฏประดับบนศรีษะ มีเครื่องประดับที่สวยสดงดงาม คนที่มีกายในเช่นนี้ ตายไป จะไปเกิดเป็น เทวดาในกลุ่มของสวรรค์ชั้น กามาวจร


4.  กายพรหม  จะมีรูปร่างคล้ายเทวดา แต่มีผิวพรรณทีละเอียด ละออ กว่า มองดูใสคล้ายแก้ว มีเครื่องประดับเป็นสีทอง มีมงกุฏ ท่านผู้มีกายในแบบนี้ ตายแล้วไปเกิดเป็น พรหม


5.  กายแก้ว  บางที่เรียกกายธรรม บางที่เรียก ธรรมกาย เป็นกายของพระอรหันต์ ดูเป็นแก้วีประกายพรึกสดสวย ใสสะอาด สว่างอย่างยิ่ง  ท่านผู้มีกายในอย่างนีี้ ตายแล้วเป็นพระอรหันต์ ไปนิพพานไม่กลับมาเกิดอีก


           นี่ก็เป็นการกล่าวตามคำของครูบาอาจารย์ ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ถ้า อยากทราบว่าเป็นดังนี้จริงหรือไม่ก็ ต้องลงมือปฏิบัติดูเอาเถิด
            แต่ที่สำคัญคือ ท่านให้หมั่นดูให้รู้อารมณ์จิตของตนเอง กายในของตนเอง ว่าดีพอหรือยัง ถ้าพบว่ายังไม่ดี ให้ดูว่ายังบกพร่องตรงไหน รีบแก้ไข จะเป็นประโยชน์มากที่สุด 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น