อาโลกกกสิน คือ การเพ่งแสงสว่าง เป็นอารมณ์ให้เกิดสมาธิ ปัจจุบันนิยมใช้ลูกแก้วใส เพื่อความสะดวก มีผลเช่นเดียวกัน เพราะ จุดสุดท้ายของ กสินนี้ก็คือ ดวงแก้วใส ถึงดวงแก้วเป็นประกาย แต่ในโบราณท่านทำดังนี้ คือ ให้เพ่งแสงสว่าง ที่ลอดเข้ามาทางรูแตกของขข้างฝา หรือหลังคา กำหรดจิตจดจำภาพแสงสว่างนั้นไว้ให้ได้ แล้วหลับตานึกถึงภาพนั้น ถ้าภาพนั้นเลือนหายไป ก็ ลืมตามาดูใหม่ ทำซ้ำๆอย่างนี้จนจำได้ขึ้นใจไม่ลืมเลือน ก็ไม่ต้องดูแสงนั้นอีก ให้นึกถึงภาพที่เราจดจำไว้แทนได้เลย วิีธีนี้ใช้กับกสินทุกชนิดด้วย แล้ว เพิ่มคำ ภาวนาเข้าไปว่า "อาโลกกสิณัง" คอยควบคุมไม่ให้จิตฟุ้งซ่านออกไป ทีนี้พอจิตเริ่มจะมีสมาธิ ก็มักจะมีภาพอื่นเกิดสอดแทรกขึ้นมา ก็ให้ตัดทิ้งไปเสียอย่าเพิ่งไปสนใจ เพราะยังไม่ใช่ของจริง ของแท้ เป็นเพียงอุปทานของจิต ที่สร้างภาพต่างๆขึ้นมา เราต้องรักษาภาพกสินเดิมของเราให้มั่นคง แน่นหนักเพียงอย่างเดียว และให้เห็นได้ทุกเวลาที่ต้องการเห็น ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบทใด หรือทำอะไรอยู่ ไม่ยอมให้ภาพนั้นลืมเลือนไป ต่อมาภาพนิมิตนั้นจะหนาขึ้นทึบขึ้น หนักแน่นขึ้น ให้เราฝึกนึกให้ภาพนั้น เล็ก ใหญ่ เคลื่อนไปในทิศทางต่างๆ ได้ตามต้องการอย่างไม่ผิดพลาด ทำได้ขนาดนี้ ก็จัดว่าจิตมีสมาธิดีพอสมควรแล้ว ไม่ช้าภาพนั้นก็จะค่อยๆ เปลี่ยนจากสีเดิม เป็นใส มีประกายพรึกทีละน้อย ๆ และค่อยๆเพิ่มมากขึ้น ถึงที่สุดจะกลายเป็นดวงแก้วประกายพรึก สวยสดงดงาม ดวงใหญ่ ทีนี้ให้กำหนดภาพให้ เล็ก ใหญ่ ไปซ้ายขวาให้คล่องที่สุด เพื่อประโยชน์ในการฝึก มโนมยิทธิ หรือ ถอดจิตออกท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่างๆ
เริ่มฝึกทิพย์จักขุญาณ การเห็นภาพเป็นประกาย และ สามารถรักษาภาพไว้ได้นั้น เป็นฌาณ ทีนี้ก็มาฝึกใช้สมาธิระดับนี้ดู นรก สวรรค์ พรหมโลก กัน
วิธีการคือ ให้จับภาพกสิณนั้นให้มั่นคงดีแล้ว ถ้าอยากดูนรก ให้กำหนดจิตลงต่ำ แล้วอธิษฐานว่า ขอภาพนี้จงหายไป ภาพนรกจงปรากฏขึ้นแทน เท่านี้ภาพนรกก็จะปรากฏ จะดูนรกขุมไหน หรือคนทำผิดอย่างนั้น อย่างนี้ต้องตกนรกขุมไหน ก็อธิษฐานเอา ถ้าจะดูสวรรค์ พรหมโลก ก็ให้กำหนดจิตสูงขึ้น แล้วก็ทำเหมือนเดิม จะเป็นการเห็นทางใจไม่ใช่ทางตา ต้องการรู้เห็นอย่างอื่นๆ ก็ต้องทำเหมือนกัน ถ้าชำนาญดีแล้วก็เห็นชัดเหมือนเห็นด้วยตา ให้ทำให้คล่อง ขนาดที่ว่า พอคิดว่าจะรู้ก็รู้ได้ทันที ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบทใด หรือเวลาไหน เมื่อได้ทิพย์จักขุญาณแล้ว ก็จะได้ญาณอื่นๆ ืั้เป็นบริวารของทิพย์จักขุญาณ อีก 7 อย่างตามมา คือ
1. จุตูปปาตญาณ รู้ได้ว่า คน สัตว์ที่ตายไปแล้ว ไปเกิดที่ใด หรือ ที่มาเกิดใหม่นี้ มากจากไหน
2. เจโตปริยญาณ รู้อารมณ์จิต หรือ รู้ใจ คนและสัตว์ว่าคิดอย่างไร ต้องการอะไร
3. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่างๆในอดีตการได้
4. อติตังสญาณ รู้เรื่องราวในอดีตได้
5. อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ที่จะเกิดในกาลข้างหน้าได้
6. ปัจจุปันนังสญาณ รู้เหตุการณ์ในปัจจุบันว่า ขณะนี้เหตุการณ์เป็นอย่างไร
7. ยถากัมมุตาญาณ รู้ผลกรรมของสัตว์ คน เทวดา พรหม ว่า ที่เขามีสุข มีทุกข์อย่างนี้เป็นเพราะผลจากการกระทำอย่างไร
อย่าลืม เมื่ออิ่ม เมื่อสมาธิคลายตัวแล้ว หากมุ่งมรรคผล ควรพิจารณาอนุสสติ ในด้าน กายคตานุสสติกรรมฐาน หรือ กองอื่นๆ เพื่อตัดกิเลส ทันทีเพราะ ขณะนั้น จิตมีกำลังแรงกล้ามากพอที่จะเห็นในวิปัสนาญาณได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง สามารถบรรลุมรรคผลได้ไม่ยาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น