คือ ญาณที่ทำให้สามารถระลึกชาติที่เคยเกิดมาในอดีตได้ ท่านว่า เมื่อได้ทิพย์จักขุญาณแล้ว ญาณนี้ต้องมีแบบฝึกต่างหาก แต่ในทางปฏิบัติปกติของนักเจริญกสิน เมื่อได้ทิพย์จักขุญาณแล้ว ก็มักจะระลึก ชาติได้เอง แต่จะระลึกได้มาก ได้น้อย ก็ขึ้นอยู่กับความขยันฝึกระลึก
การฝึกเพื่อระลึกชาติสำหรับผู้ที่ฝึกใหม่นั้น ท่านให้ทำดังต่อไปนี้ ให้เข้าฌาณ 4 ในกสินกองใดกองหนึ่ง ต้องเป็นฌาณในกสินเท่านั้น กรรมฐานอย่างอื่นไม่ได้ แล้วออกจากฌาณ 4 มาทรงอารมณ์อยู่ในอุปจารสมาธิ หรือ อุปจารฌาณ คืออันเดียวกัน แล้วค่อยๆคิดย้อนถอยหลังถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว ในวันนี้ถอยเวลาลงไปเรื่อยๆ เมื่อวานนี้ อาทิตย์ก่อน ๆๆ เดือนก่อนๆ ปีก่อนๆ ชาติก่อนๆไปเรื่อยๆ ตามเวลา และ ความขยัน ถ้าจิตเริ่มฟุ้งซ่านก็เข้า ฌาณ 4 ใหม่ แล้วก็ทำดังนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็จะค่อยๆรู้ ค่อยๆเห็น ในแบบรู้ทางใจ เป็นภาพขึ้นมา เหมือนทิพย์จักขุญาณ และ รู้เรื่องราวต่างๆ ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ชื่อเรา ชื่อ พ่อ แม่ พี่น้อง สถานที่ รู้ได้ทุกอย่าง
ควรใช้ญาณนี้เพื่อ ละกิเลส โดยพิจารณาเป็นวิปัสนาญาณว่า เรานี้ได้ผ่านการเกิด การตาย การแก่ การเจ็บ มามากมายในทุกๆชาติ เวียนว่ายตายเกิดชนิดหาที่สิ้นสุดมิได้สักที การเกิดแต่ละครั้งก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่ว่าจะเกิดเป็นพรหม เทวดา นางฟ้า กษัตริย์ คนมั่งมี ยิ่งใหญ่เพียงใด หรือเป็น ยากจกเข็ญใจ เป็น เปรต สัตว์นรก อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ยิ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นสุขจริง จะเห็นได้ว่า เราเคยเป็นมาแล้ว ทุกอย่าง หาทางพ้นจากความทุกข์ไม่ได้เลย
เมื่อจิตเห็นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิด ก็เท่ากับเป็นการเห็น อริยะสัจ 4 พระท่านว่าเป็นองค์วิปัสนาญาณ อันดับสูง เป็นการเห็นด้วยปัญญา ชนิดรู้แจ้งเห็นจริง จะช่วยคลายมานะ ความถือตัวถือตน ซึ่งเป็นกิเลสตัวสำคัญ ด้วยจะเห็นว่า ไม่ว่าเรารังเกียจใคร เราก็เคยเป็นอย่างเขามาก่อน เห็นสัตว์ใด ก็รู้ได้ว่า เราก็เคยเป็นมาก่อน เขากับเราก็มีสภาพเหมือนๆกัน คือ เกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตาย มีทุกข์อื่นๆเสมอกันหมด เมื่อจิตบรรเทามานะ ความถือตัว ถือตนเสียได้ ใจก็จะมีความสุขสงบ บรรลุมรรคผลได้ไม่ยากเย็นนัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น