นิสัยของผู้ที่มีแนวทางแบบ สุกขวิปัสสโก
พระท่านสอนว่า นักปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น มีหลายแบบ หลายแนวทาง โดยแบ่งแนวทางการบรรลุมรรคผลเป็น 4 แนวทางด้วยกัน วันนี้จะกล่าวถึง ผู้มีอุดมคติ หรือ แนวทางแบบ สุกขวิปัสสโก
นักกรรมฐานผู้มีแนวทางแบบนี้ มักชอบแบบ ง่ายๆ เรียกว่า สุกเอาเผากิน ไม่ชอบพิธีรีตรองให้ยุ่งยาก ไม่ต้องการฤทธิ์เดช ไม่ต้องการอวดความเก่งกับใคร ต้องการอย่างเดียวคือ บรรลุมรรคผล ท่านผู้มีนิสัยแบบนี้ พระพุทธองค์ เรียกการปฏิบัติแบบนี้ว่า สุกขวิปัสสโก
คือการ ปฏิบัติ แบบสบายๆ เริ่มต้นด้วยการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ตามสภาพของตน ศีลนี้ีความสำคัญมาก ถ้าต้องการบรรลุมรรคผลแล้ว อย่าให้ศีลบกพร่องเป็นอันขาด อย่าให้ด่างพร้อย ถ้าหากยังรักษาศีลแบบ ขาดมั่งดีมั่ง แล้วละก็ พระท่านว่าไม่มีหวังในมรรคผลแน่นอน
ทีนี้เมื่อมีศีลครบถ้วนมั่นคงดีในจิตใจแล้ว ก็ทำสมาธิ เรื่องสมาธินี้ท่านสุกขวิปัสโกไม่สนใจมุ่งเอาสมาธิระดับสูงๆ หรือฌาณสมาบัติต่างๆ พอมีสมาธิเล็กๆน้อย ท่านก็เจริญวิปัสนาควบคู่ไปด้วยตลอด รวบรวมสมาธิไปทีละเล็ก ทีละน้อย จนกระทั่ง เมื่อสมาธิเข้าถึงระดับปฐมฌาณ วิปัสสนาญาณที่ท่านทำก็มีกำลังพอที่จะตัดกิเลสได้ มรรคผล แต่ถ้า สมาธิยังไม่ถึงปฐมฌาณก็ยังไม่อาจตัดกิเลส เอามรรคผลได้
พระท่านว่านี่เป็นกฏตายตัว เนื่องด้วยมรรคผลต้องมีฌาณเป็นเครื่องรู้ เครื่องบอก ฌาณนี้จะเกิดขึ้นเมื่อจิตเข้าสู่อุปจารสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นในอุปจารสมาธิดีแล้ว จะเกิดทิพย์จักขุญาณ สามารถเห็น และ ได้ยินสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ เมื่อสามารถเข้าถึงปฐมฌาณได้ จิตจะเป็นทิพย์มาก สามารถกำหนดจิตเพื่อรับรู้ในสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ ผลของวิปัสสนา คือ มรรคผลนั้น ต้องอาศัย ทิพย์จักขุญาณ เป็นเครื่องบอก
ดังพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า เมื่อ ภิกษุบรรลุแล้ว ก็มีญาณบอกว่ารู้ ท่านหมายถึง ญาณที่เป็นทิพย์จักขุญาณนั่นเอง
พระท่านกล่าวว่า ท่านที่เป็นสุกขวิปัสสโก แม้ว่าท่านจะรวบรัด และ สบายๆ อย่างไรก็ต้อง อาศัยฌาณ ในสมถะ แต่ท่านได้เพียง ฌาณขั้นเล็กๆ คือ ปฐมฌาณ ไม่อาจเอาดีเอาเด่นในเรื่องฌาณได้
สิ่งที่ท่านทำคือ
1. รักษาศีลบริสุทธิ์
2. ทำสมาธิ ควบ วิปัสสนา
เมื่อสมาธิท่านถึงปฐมฌาณเมื่อใดท่านก็บรรลุมรรคผล ท่านไม่มีฌาณสูง ไม่มีฤทธิ์เดช อะไรทั้งสิ้น แต่ก็บรรลุมรรคผลได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น