วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2558

สมาธิ


สมาธิ


หมายถึง ความตั้งใจมั่น สมาธินี้มีหลายระดับ คือ

ขณิกสมาธิ
แปลว่า   การตั้งใจมั่นได้เล็กน้อย  มีความสามารถที่จะทรงอารมณ์สมาธิได้เพียง ชั่วขณะ เล็กๆ น้อยๆ นิดๆ หน่อยๆ ก็ฟุ้งซ่าน เผลอคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อย อารมณ์จิตยังไม่พบเห็นความสว่างไสว เป็นอารมณ์ปกติของคนทั่วไป ที่เริ่มทำสมาธิใหม่ๆ ภาวนาไปได้นิดนึง ก็เผลอไปคิดนู่น คิดนี่ เสียจนเพลิดเพลิน



อุปจาระสมาธิ
แปลว่า  การตั้งใจมั่นได้ในระดับปานกลาง  มีความสามารถทรงอารมณ์สมาธิได้นานพอสมควร มีอารมณ์สว่างไสวพอใช้ได้ เริ่มใช้ในการฝึกทิพย์จักขุญาณได้
เมื่อเข้าถึง อุปจาระสมาธิจะมีอาการดังนี้
1.  วิตก  มีการกำหนดจิตนึกถึงในคำภาวนา หรือ ภาพที่เราใช้ฝึก อยู่ได้ไม่คลาดเคลื่อน ในเวลาพอสมควร
2.  วิจาร  มีการใคร่ครวญถึง คำภาวนา หรือ ภาพที่เราใช้ฝึก ว่ามีอาการเป็นอย่างไร เคลื่อนไหว หรือ หยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง พินิจพิเคราะห์ตามไปตลอดเวลา
3.  ปีติ  เกิดมีเกิดมีความรู้สึก อิ่มเอิบใจ ไม่เบื่อหน่ายในการทำสมาธิ ไม่อยากหยุด ไม่อยากเลิก อารมณ์ผ่องใส สว่างอาจเห็นภาพแสงสีต่างๆแต่ไม่นานนักก็หายไป ยังมีสิ่งที่ควรรู้คคือ อาการของปีติ มี 5 อย่าง คือ
                      1.  ขนลุกขนชัน  หรือ ขนพองสยองเกล้า
                      2.  น้ำตาไหล อยู่ดีๆก็ไหลออกมาเอง ด้วยความสุข
                      3.  ร่างกายมีอาการโยก โคลงไปมา หรือ เอียงข้าง หรือหมุน
                      4.  รู้สึกว่าร่างกายลอยขึ้น บางรายอาจลอยไปได้ไกล บางรายลอยสูง
                      5.  มีอาการซู่ซ่า บางรายรู้สึกร่างกายโปร่ง บางรายรู้สึกร่างกายหนาหนักแน่น บางรายรู้สึกร่างกายใหญ่โต
          อาการของปีติทั้ง ห้าอย่างนี้ อาจเกิดบางอย่าง หรือ หลายอย่างก็ได้ ไม่แน่นอนนัก แต่มีจุดสังเกตุคือ จะมีอารมณ์จิต ชุ่มชื่น เบิกบาน มีความสุข มีจิตแนบแน่นในสมาธิ ไม่หวั่นไหว
4.  สุข  มีความสุขชื่นบาน รื่นเริงหรรษา มีสมาธิตั้งมั่นมาก ไม่รู้สึกถึงอาการปวดเมื่อย ยุงกัดก็ไม่เจ็บ มีความสว่างไสวในทางจิตใจ





ฌาณ
แปลว่า   การเพ่ง   คือ การเพ่งอารมณ์ในกรรมฐานที่เรากำลังทำอยู่นั้น
มีอยู่ด้วยกัน 8 ขั้น คือ รูปฌาณ ขั้นที่ 1-4 และ อรูปฌาณ อีก 4 ขั้น รวมเป็น 8  
จะได้อธิบายละเอียดในเรื่องของ ฌาณในบทต่อๆไป

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2558

เจโตปริยญาณ ดูกายในกายได้

 เจโตปริยญาณ ดูกายในกายได้

 เมือดูสีของจิตได้ ก็ย่อม ดูกายในกายได้
    ในระดับต้น พระพุทธองค์สอนให้ดูกายในกาย คือ อวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆในกายของเรา และผู้อื่น  แต่สำหรับ ญาณนี้ ใช้ประโยชน์ในการดู กายที่ซ้อนอยู่ในกายนี้อีกที กายที่ว่านี้จัดเป็น อทิสมานกาย ไม่อาจดูด้วยตาเนื้อธรรมดาเห็นได้ ต้องดูด้วยญาณนี้เท่านั้น  เราคงเคยฝันกันทุกคน ฝันว่าทำนู่นทำนี่ ไปนู่นไปนี่ นั่นคือการปรากฏตัวของ กายในกายที่ว่านี้ ซึ่งจะเกิดขึ้นในเวลาที่กายเนื้อหลับ กายเนื้อจะหมดกำลังที่จะควบคุมกายในกายได้ กายในกายชนิดนี้จึงออกไปทำกิจกรรมต่างๆ เมื่อตื่นขึ้นมาจึงมัก จะจำเหตุการณ์ ที่ฝันไปได้ หรือ รู้สึกว่าได้กระทำไปตามที่ฝันจริงๆ เช่น วิ่งจนเหนื่อย




         กายในกายนสี้เเบ่งได้เป็น 5 ขั้น คือ
1.  กายอบายภูมิ  จะมีรูปร่างลักษณะ คล้ายคนขอทาน มีลักษณะเศร้าหมอง ซูบซีด ไม่สดใส คนที่มีกายในประเภทนี้ ตายเมื่อไหร่ ไปอบายภูมิ


2.  กายมนุษย์  จะมีรูปร่างลักษณะ ค่อนข้างผ่องใส มีความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่ในแต่ละคน จะมีกายมนุษย์ที่แตกต่างกันบ้าง ที่มีสัดส่วน ผิวพรรณ และ ความสวยสดงดงามที่ไม่เหมือนกัน คนพวกนี้ตายแล้ว จะกลับไปเกิดเป็นมนุษย์ อีก


3.  กายทิพย์ คือ กายเทวดาชั้น  กามาวจร จะมีลักษณะ ที่ผ่องใส ละเอียด แต่ถ้าเป็นระดับ อากาศเทวดา หรือ รุกขเทวดาขึ้นไป จะมีมงกุฏประดับบนศรีษะ มีเครื่องประดับที่สวยสดงดงาม คนที่มีกายในเช่นนี้ ตายไป จะไปเกิดเป็น เทวดาในกลุ่มของสวรรค์ชั้น กามาวจร


4.  กายพรหม  จะมีรูปร่างคล้ายเทวดา แต่มีผิวพรรณทีละเอียด ละออ กว่า มองดูใสคล้ายแก้ว มีเครื่องประดับเป็นสีทอง มีมงกุฏ ท่านผู้มีกายในแบบนี้ ตายแล้วไปเกิดเป็น พรหม


5.  กายแก้ว  บางที่เรียกกายธรรม บางที่เรียก ธรรมกาย เป็นกายของพระอรหันต์ ดูเป็นแก้วีประกายพรึกสดสวย ใสสะอาด สว่างอย่างยิ่ง  ท่านผู้มีกายในอย่างนีี้ ตายแล้วเป็นพระอรหันต์ ไปนิพพานไม่กลับมาเกิดอีก


           นี่ก็เป็นการกล่าวตามคำของครูบาอาจารย์ ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ถ้า อยากทราบว่าเป็นดังนี้จริงหรือไม่ก็ ต้องลงมือปฏิบัติดูเอาเถิด
            แต่ที่สำคัญคือ ท่านให้หมั่นดูให้รู้อารมณ์จิตของตนเอง กายในของตนเอง ว่าดีพอหรือยัง ถ้าพบว่ายังไม่ดี ให้ดูว่ายังบกพร่องตรงไหน รีบแก้ไข จะเป็นประโยชน์มากที่สุด 

สีของจิต

 สีของจิต

            ท่านเพื่อนนักปฏิบัติกรรมฐานทั้งหลาย วันนี้เป็นวันที่ 3 ม.ค 2558 สำหรับวันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่อง สีของจิต สำหรับท่านที่สามารถฝึก กสิน 1 ใน 3 อย่างที่เป็นต้นกำเนิดของทิพย์จักขุญาณ ได้ในระดับดีแล้ว  เราสามารถใช้ เจโตปริยญาณ ดูสีของจิตได้ด้วย  บางแห่ง บางตำรา บางครูบาอาจารย์ อาจเรียกว่า น้ำเลี้ยงของจิต  ซึ่งจะมีสีออกมา โดยอาศัยอารมณ์ของจิตเป็นตัวเหตุ  สีของจิตนี้จะช่วยบอกถึงอาการของจิต ว่า เป็นสุข หรือ เป็นทุกข์อย่างไร อารมณ์ขุ่มมัวหรือผ่องใส
     
สีของจิตมีดังนี้

1.  สีแดง  คือ จิตมีความยินดี ดีใจ ด้วยผลอย่างใดอย่างหนึ่ง


2.  สีดำ  คือ จิตมีอารมณ์โกรธ อาฆาต พยาบาท จองเวร มีทุก์เพราะ ความปราถณา ไม่สมหวัง หรือ ทุกข์เพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง

3.  สีคล้ายน้ำล้างเนื้อ คือ จิตที่มีความผูกพันธ์ ลุ่มหลง เสียดาย ห่วงใยในทรัพย์สิน บุคคล และ สิ่งมีชีวิต

4.  สีคล้ายน้ำต้มถั่ว หรือ น้ำซาวข้าว  คือ จิตที่มีความวิตก กังวล ไม่อาจที่จะตัดสินใจอะไรลงไปได้อย่างเด็ดขาด
5.  สีขาว  คือ จิตที่มีอารมณ์เชื่อง่าย ใครพูดใครบอกอะไรก็เชื่อ โดยขาดการไตร่ตรองว่าถูกต้องหรือไม่ ดีเพียงใด

6.  สีผ่องใส คล้ายเพชร  คือ จิตที่ บริสุทธิ์ ผ่องใน ไม่มีความกังวล มีความเฉลียวฉลาด รู้เท่าทันคน และเหตุการณ์ต่างๆ เข้าใจอะไรง่าย เรียนเก่ง ความจำดี


จะเห็นได้ว่า จิตของแต่ละคน มีสีแตกต่างกัน เพิ่มเติมนึดหนึ่งคือ หลวงพ่อ ตุ๊ เจ้าป่า วัดพระยายมราช อาจารย์ อีกรูปหนึ่งของข้าพเจ้าเคยบอกว่า ถ้าดูพระ เห็นพระองค์ใด มีจิตสีดำ แสดงว่า พระองค์นั้นต้องปราชิก  ลงอเวจีมหานรกแน่นอน
 
หมายเหตุ ภาพที่นำมาลงเป็นเพียงภาพประกอบให้มีสีสรรค์ เท่านั้น

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2558

เจโตปริยญาณ


เจโตปริยญาณ



         
ท่านนักปฏิบัติทั้งหลาย  วันนี้เป็นวันที่ 2 ม.ค. 2558  สำหรับวันนี้ เราจะมาคุยกันถึงเรื่อง เจโตปริยญาณ สำหรับญาณนี้ คือ  ญาณที่ทำให้เราสามารถรู้จิตใจคน รู้อารมณ์จิต ของคน และสัตว์  ว่าขณะนี้ มีจิตคิดอย่างไร  มีสุข หรือทุกข์ อย่างไร จิตของเขาเป็นกุศลหรือ อกุศล เป็นจิตผู้ทรงคุณอะไร และ ใช้สำหรับ รู้จิตเราเองได้ด้วยว่า ขณะนี้มีกิเลสอะไรเกิดขึ้นในจิตใจเรา หรือ ไม่มีกิเลสอะไรเกิดขึ้น




           ส่วนการที่จะสามารถล่วงรู้จิตใจของผู้ปฏิบัติธรรมอื่นๆ ว่า มีจิตอยู่ในระดับใด ได้มรรคผลอะไร เราก็ต้องเป็นผู้มีจิตอยู่ในระดับเดียวกัน หรือ สูงกว่า หากเรามีระดับฌาณต่ำกว่า จะ ไม่สามารถรู้จิตของผู้มีระดับฌาณสูงกว่าได้ พระท่านว่า นี่เป็นกฏตายตัว ดังนั้น เมื่อเราตรวจแล้วไม่อาจทราบว่าท่านผู้นั้น มีจิตคิดอย่างไร หรือระดับจิตอยู่ระดับไหน ก็ให้คิดไว้ก่อนว่า ท่านผู้นี้ ต้องมีระดับจิตที่สูงกว่าเรา ก็จงอย่าพยากรณ์ระดับจิตท่าน การพยากรณ์ผู้ทรงคุณสูงกว่า  ย่อมจะผิดจากความเป็นจริง มีโทษหนักในทางปฏิบัติ อาจทำให้เราปฏิบัติกรรมฐานอย่างไร้ผล ทำกรรมฐานเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้นไม่ก้าวหน้า พระท่านว่า หากเรากล้าไปพยากรณ์ผู้ทรงคุณธรรมระดับสูงกว่า ถ้าท่านเป็นระดับอริยะ  เป็นกรรมหนักมาก ในโทษที่อาจเอื้อมยกตนเหมือนพระอริยะ ควรละเว้นให้เด็ดขาด

       สำหรับวิธีฝึกญาณนี้ ให้ไปดูที่  วิธีฝึก อาโลกกสิน เพื่อให้ได้ทิพย์จักขุญาณ
 

     









วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2557

รู้จักกับ จุตูปปาตญาณ

จุตูปปาตญาณ

         
 เป็นญาณที่ใช้ ในการตรวจดูว่า คน หรือ สัตว์ นี้ ก่อนเกิดมาจากภพภูมิไหน และ คน หรือ สัตว์ที่ตายไปแล้ว ไปเกิดในภพภูมิไหน ถ้าฉลาดขึ้น ก็ใช้ ยถากัมมุตาญาณ มาช่วยในการตรวจเพื่อให้รู้ผลของกรรมด้วยว่าเขาทำกรรมอะไร จึงมาเกิด และ ไปเกิดในภพภูมินั้นๆ


            ญาณต่างๆนี้ สามารถที่จะใช้ในคราวเดียวกันได้ทีละ หลายๆญาณ เนื่องจากญาณทั้งหมดนี้ เป็นผลมาจากทิพย์จักขุญาณเหมือนกัน
           สมมุติว่า เราตรวจดูเด็กคนหนึ่งที่มาเกิดใหม่ อาจจะเห็นได้ว่า เด็กคน นี้ มาจาก เทวดา นางฟ้า บ้าง พรหม บ้าง สัตว์นรก เปรต อสุรกายบ้าง หรือ ตรวจดูคนที่ตายไป ก็จะพบในลักษณะเช่นเดียวกัน ว่าเขาไปเกิดที่ภพภูมิไหน บางทีเราอาจพบ คนที่เคยรวย เคยยิ่งใหญ่ มาเกิดเป็นคนจนเข็ญใจ ก็ให้ตรวจดูด้วยว่า เป็นเพราะกรรมอันใด สัตว์ มาเกิดเป็น มนุษย์ ได้เพราะกรรมอันใด อันนี้จะช่วยให้เรา รู้แจ้งเห็นจริงในการเวียนว่ายตายเกิด เห็นความน่ากลัวของภพภูมิที่ไม่ดี ว่าน่ากลัวเพียงใด  เห็นความสุข ของ สวรรค์ พรหม เห็นความไม่แน่นอนของ เทวดา และพรหม ว่ามีสุขไม่เที่ยงแท้ เมื่อหมดบุญวาสนาบารมี ก็ต้องกลับมาวนเวียนพบกับความทุกข์อีกได้


          เราจะเห็นว่าการเวียนว่ายตายเกิดนี้ ไม่มีวันสิ้นสุด ในไม่ช้า เราก็จะมองเห็น ทุกข์ เป็นการมองเห็นตามอริยสัจ เราจะมีความเบื่อหน่่ายในการเวียนตายเวียนเกิด  จิตเกิดปัญญาเป็นวิปัสนาญาณ
          ถ้าเราปฏิบัติดังนี้ได้ทุกๆวัน ทุกเวลา ย่อมจะมีผลดีกับเราอย่างที่สุด จิตย่อมหลุดพ้นไม่แสวงหาการเกิดอีกต่อไป เข้าสู่มรรคผลนิพานเป็นที่ไป ตามแบบที่พระพุทธเจ้าสอน

วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วิธีการฝึกใช้ญาณต่างๆ

วิธีการฝึกใช้ญาณต่างๆ





             สำหรับท่านที่ฝึกด้านกสินใหม่  กองใดกองหนึ่งใน 3 กองที่เป็นกำเนิดของ ทิพย์จักขุญาณ ดังที่ได้เคยกล่าวมาแล้ว ในเรื่องก่อนๆ เมื่อฝึกฝนมาจนกสินนั้น ถึงอุปจารฌาณ หรือ อุปจารสมาธิแล้ว ก็สามารถเริ่มฝึก ทิพย์จักขุญาณได้  แต่ในระดับสมาธินี้ ก็มีผลในการรู้ไม่มากนัก เช่น เห็น นรก สวรรค์ หรือเหตุการณ์ ต่างๆได้บ้าง พอสมควร แต่ไม่ชัดเจนแจ่มใสนัก การเห็นภาพ ก็ ยังไม่เต็ม เช่น เห็นเทวดา ก็มักไม่เห็นเต็มตัว การติดต่อสื่อสารกับ เทพ หรือ พรหม ก็ทำได้เพียงเล็กน้อย ภาพก็จะหายไป ต้องกำหนดจิตกันใหม่บ่อยๆ เนื่องจาก สมาธิระดับนี้ ยังไม่อาจที่จะทรงตัวอยู่ได้นานนั่นเอง

        ให้ท่านค่อยๆ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ อย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง ให้ชำนาญ และ มีระดับสมาธิที่สูงขึ้น ทิพย์จักขุญาณ และ ญาณอื่นๆ ก็จะดีขึ้นตามกันไปเอง
         เมื่อสมาธิได้ถึงฌาณ 4 ชำนาญเมื่อใด จิตจะมีความต้้งมั่นมาก ดำรงทรงอยู่ได้นานตามความต้องการ ทิพย์จักขุญาณก็ จะมีสภาพสมบูรณ์ ใช้ได้ดี การเห็นภาพจะเห็นได้เต็ม ไม่ขาดหาย การพูดคุย ก็จะคุยได้นานจนรู้เรื่องกันดี และ สามารถใช้ญาณอื่นๆได้ครบถ้วน

         ทิพย์จักขุญาณนี้ แม้จะเต็มขั้นเพียงใด แต่ก็ยังเป็นเพียงฌาณโลกีย์ การรู้เห็นจะชัดเจนแจ่มใสสู้ท่านที่เป็น อริยะ หรือ โลกุตตระไม่ได้ ย่อมต้องมีมัวเป็นธรรมดาเพราะยังมีกิเลสเป็นเครื่องห่อหุ้มกีดขวางอยู่นั่นเอง

         ญาณต่างๆ ก็มีความสว่างตามกำลังของฌาณ หรือสมาธิ ดังนั้นเมื่อจะใช้ญาณต่างๆ ก็ต้องเพ่งรูปกสิณให้เต็มกำลังที่ตนได้ก่อน ภาพกสิิณชัดเจนเท่าใดภาพที่เราต้องการเห็นก็เห็นได้เท่าภาพกสิณ ต่อมาก็อธิษฐานให้ภาพกสิณหายไป ขอภาพที่เราต้องการจงปรากฏขึ้นมาแทน เพียงเท่านี้
         ควรหมั่นฝึก หมั่นเล่นทุกวันๆละหลายๆหน จิตจะมีความเพลิดเพลิน มีความรู้ความฉลาดเกิดขึ้น ปัญญาการรู้แจ้งเห็นจริงจะเกิดขึ้นได้ง่าย

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2557

มโนมยิทธิ ตามแบบ หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ

มโนมยิทธิ ตามแบบ หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ




          มโนมยิทธิ  แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ หลวงพ่อท่านหมายถึง การที่เราสามารถ ถอดจิต ออกจากร่างกาย แล้วท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่างๆได้  ท่านบอกว่า ความจริงต้องจัดไว้ในส่วนของอภิญญา แต่เนื่องจากผู้ที่ ทรงวิชชา 3 ก็สามารถทำได้
            เมื่อเราสามารถที่จะทรงฌาณ 4 ได้ในกสินอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ก็สามารถที่จะทรง มโนมยิทธิได้ สามารถที่จะท่องเที่ยวไปที่ใดก็ได้ตามใจปราถณา


            วิธีปฏิบัติ   
อันดับแรก จัดพานครู มีธูป 3 ดอก ดอกไม้ 3 ดอก เทียน 1 เล่ม
ต่อมา ทำสมาธิเข้าให้ถึง ฌาณ 4 ทำจิตให้สว่างไสว โปร่งดีแล้ว ให้กำหนดจิตว่า ขอร่างกายนี้จงเป็นโพรง ก็จะเห็นร่างกายเป็นโพรงใหญ่ แล้วให้กำหนดจิตว่า ขอร่างกายอีกร่างหนึ่ง จงปรากฏขึ้นในกายนี้  กายอีกกายหนึ่งก็จะปรากฏขึ้น ต่อไป ท่านบอกว่าให้บังคับร่างกายใหม่นี้ เคลื่อนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้เข้าไปในอวัยวะน้อยใหญ่ กระทั่งในเส้นเลือดเล็กๆ ร่างกายนี้ก็เข้าไปได้สบาย เหมือนเดินในถ้ำ ในโพรง  ฝึกท่องเที่ยวในร่างกายให้ทั่ว ให้ชำนาญ แล้ให้หาความรู้ในร่างกายด้วย ถึงสภาพของอวัยวะนั้นๆ รู้ถึงความสกปรกของอวัยวะนั้น รู้ให้ชัดว่ายากที่ปกติไม่เจ็บป่วยอวัยวะนั้นมีสภาพอย่างไร และจดจำไว้  พอป่วยไข้ไม่สบายก็จะสามารถตรวจรู้ด้วยตัวเองได้ว่า มีอะไรผิดปกติไป หรือ ชำรุดไปบ้าง จะเห็นแจ้งชัด ไม่แพ้เครื่องเอ็กซ์เรย์สมัยใหม่เลย มีประโยชน์มาก



             ต่อมาเมื่อเที่ยวในร่างกายจนชำนาญดีแล้ว ไม่หวั่นไหวเกรงกลัวอะไรแล้ว ให้กำหนดจิตว่าจะไปในสถานที่ใด แล้วพุ่งกายในออกไป ก็จะถึงสถานที่นั้นในทันที เมื่อถึงแล้ว จิตจะบอกเองว่าเป็นสถานที่ใด พบใครบ้าง เนื่องจากความเป็นทิพย์ของจิต จะรู้ตามความเป็นจริงได้เอง

             ท่านให้ฝึกทำให้คล่อง ขนาดเพียงกำหนดจิตคิดว่าจะไป ก็ไปได้ทันที ทุกขณะจิต ทุกอิริยาบท โดยเฉพาะเวลาป่วย ควรฝึกให้ชำนาญมากด้วยขณะที่ร่างกายมีทุกขเวทนามาก ให้ถอดจิตออกไปเสีย เวทนาจะได้ไม่รบกวน ไปพักจตที่ สวรรค์ หรือ พรมหม ตามต้องการ และ ควรทำเป็นปกติ  แต่ควรสั่งผู้ที่ดูแลพยาบาลไว้ว่าอย่าให้ใครรบกวน  ถ้าได้มรรคผล ถึง วิมุติญาณทัสสนะ ให้ไปพักจิตที่นิพพานเลยนั่นแหละดี ถ้าหากร่างกายมันบังเอิญพังลงเราก็อยู่ที่นั้นๆเลย หมดทุกข์ไป